1 min read

สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางใจให้เพื่อนร่วมงานด้วยกาแฟหนึ่งแก้ว

ถ้าเราเป็นคนทำงานแบบ Passive ที่รอแต่ให้คนเข้ามารายงานปัญหา ส่วนใหญ่มันก็สายเกินแก้แล้ว มาจัดการปัญหานี้ด้วย Coffee Break กันดีกว่า
สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางใจให้เพื่อนร่วมงานด้วยกาแฟหนึ่งแก้ว
Coffee Break - สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางใจให้เพื่อนร่วมงานด้วยกาแฟหนึ่งแก้ว

เข้าใจคนด้วยกาแฟหนึ่งแก้ว

ปัญหาในทีมส่วนใหญ่เกิดการสื่อสารที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะระหว่างคนที่เป็นหัวหน้ากับคนที่เป็นลูกทีม มาจากสาเหตุหลักๆ 2 ข้อ

  1. คิดว่าคนรับสารเข้าใจเหมือนเรา 100%
  2. มาทำงานคุยกันเฉพาะเรื่องงานก็พอแล้ว

ดังนั้นหลายๆ ทีมจึงเริ่มมีวัฒนธรรม 1 on 1 Session เกิดขึ้น โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันจริงจังเกินไปเลยตั้งชื่อว่า “Coffee Break" มาพักกินกาแฟกันเหอะ

Psychological Safety

image by Nina Uhlikova

จุดประสงค์ของสิ่งนี้ คือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) เพื่อให้เกิดการเข้าใจกันและกันให้มากขึ้น บางครั้งอาจเป็นการ Feedback การทำงานด้วยก็ได้ ควร Book Slot เวลากับคนที่เราอยากคุยไว้ก่อนอาจเริ่มจาก 30 นาที

การชวนกันลงไปซื้อกาแฟ ก็อาจเกิดโมเม้นต์ของการคุยแบบผ่อนคลายได้ตั้งแต่ระหว่างเดิน ต่อคิว และรอกาแฟ จนกระทั่งกินกาแฟกันจนหมดแก้ว คำถามคือ เราควรมี Coffee Break กับใครบ้าง?

💡
เราควรคุยกับ N+1 (หัวหน้าเรา) กับ N-1 (ลูกทีมเรา)

การใช้เวลาใน Coffee Break

image by Samer Daboul

ช่วงคุยเล่น 15 นาทีแรก

ถามไถ่ชีวิต เรื่องส่วนตัวที่บ้าน ครอบครัว งานอดิเรก สัตว์เลี้ยง และอื่นๆ แล้วเราก็จะรู้จัก Lifestyle และ Background ของคนมากขึ้น

ช่วงคุยงาน 15 นาทีหลัง

ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานระดับเดียวกัน อาจเป็นการคุยเรื่อง Way of workings ถ้าเป็นหัวหน้าก็อาจคุยเรื่องปัญหาที่เราอยากให้ช่วย + Career Path ของตัวเราเอง 

แต่ถ้าเราเป็นคนในทีม เราควรถามปัญหาที่เค้าเจอ อะไรที่เค้าชอบหรือไม่ชอบ รวมถึงเป้าหมายในการทำงานและชีวิต หากเราเป็นหัวหน้าและต้อง Coffee Break กับคนในทีม เราควรใช้ชีวิตเยอะๆ ลองอะไรหลายอย่าง ยิ่งเรามีประสบการณ์หลายด้าน ก็จะเป็นที่ปรึกษาให้คนในทีมได้

หรือถ้าเราไม่รู้จริงๆ เราควรรู้ว่าให้เค้าไปหาใครต่อ

ประโยชน์ของ Coffee Break

1. Personal + Working Issues

  • เราคุยกับหัวหน้า

ได้ปรึกษาปัญหาส่วนตัวกับคนที่อาจมีประสบการณ์มากกว่า รวมถึงได้ปลด Blocker ในการทำงานที่เราไม่สามารถจัดการได้เอง

  • เราคุยกับคนในทีม

เข้าใจว่าปัญหาในชีวิตส่วนตัวและการทำงานของแต่ละคนมีอะไรบ้าง จะได้วางปริมาณงานให้เหมาะสม

2. Goals and Career Path

  • เราคุยกับหัวหน้า

ได้ถาม Goals ว่าหัวหน้าคาดหวังอะไรจากเรา รวมถึงการได้บอก Career Path ที่ตัวเองอยากไป หัวหน้าจะได้รู้และข่วยผลักดัน

  • เราคุยกับคนในทีม

เข้าใจเป้าหมายของแต่ละคน ทำให้ Career Path ชัดเจนมากขึ้น จะได้ไม่คิดไปเองว่าเค้าอยากเป็นอะไร และยังข่วยวางงานให้เอื้อต่อ Career Path ของเค้าได้

3. Interest and Passion

เข้าใจความสนใจในแต่ละช่วงของคน ทำให้วางงานให้ตรงกับความสนใจได้มากขึ้น และบางทีอาจมีการโยกย้ายทีมที่เหมาะกับความสนใจของคนเลยก็ได้

4. Communication Loop

ทำให้รู้ปัญหาเร็ว แก้ปัญหาเร็ว ที่สำคัญคือรับสารครบทุกทาง แก้ปัญหาการเมืองในทีม หรือตีความปัญหาผิดจากการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วน ถ้าเรามี N-1 N-2 เราควรคุย Coffee Break ให้ครบทุกคน เพื่อไม่ให้เป็นการฟังความข้างเดียวหรือหลับตาข้างนึง

“ความยุติธรรมที่มาช้า คือ ความไม่ยุติธรรม” - พี่เล้ง MFEC

5. Strong Team Culture

ในมุมที่เราเป็นหัวหน้า ถ้าเราคุยกับคนในทีมครบทุกคนเราจะเห็นจุดร่วมและจุดต่างกันของแต่ละคน พยายามเอาจุดร่วมนั้นมาทำให้เป็น Culture เช่น 

  • คนส่วนใหญ่ชอบหาความรู้ ก็จัด Session Knowledge  Sharing
  • คนส่วนใหญ่ทำงานซ้ำซ้อนกัน ก็จัด Session Project Sync up
  • คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าทำงานคนเดียวแล้วเหงา ก็จัด Session Retrospective และ Buddy Working ในการทำงาน

ความสนใจและทักษะที่แตกต่างกันก็ทำให้แต่ละคนข่วยทีมได้เช่นกัน อย่างน้องในทีมผมเป็นนักเทคนิคการแพทย์ เวลาออฟฟิศมีจัดตรวจสุขภาพ น้องก็ทำเป็น List ให้ว่าควรตรวจอะไรเพิ่มบ้าง พอผลออกน้องก็รับอาสาอ่านผลตรวจสุขภาพของแต่ละคนให้ สุดยอดมั้ยล่ะ 5555+


สรุป

หลายคนอาจมองว่าการคุยกัน มี Coffee Break มันเป็นการเสียเวลาและไม่จำเป็น คำถามคือแล้วเราจะรู้ปัญหาได้ยังไง? ถ้าเราเป็นคนทำงานแบบ Passive ที่รอแต่ให้คนเข้ามารายงานปัญหา ส่วนใหญ่มันก็สายเกินแก้แล้ว เพราะคนทำงานถ้าไม่สุดจริงๆ ก็ไม่มาบอกเราหรอก

เมื่อทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กรที่มีมากกว่า 2 คน คือ People “ก็อย่ามองพวกเค้าเป็นแค่ Resource” แต่มองเค้าในฐานะมนุษย์คนนึงที่มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีจิตใจ มีเป้าหมาย ไม่ต่างจากเรา