Life is your choices - ชีวิตอยู่ที่เราเลือก
บทความนี้ผมจะมาแชร์เนื้อหาที่ได้ไปพูดในงาน Duck Con 2023 ของเพจ DataRockie ที่มีคนมาร่วมงานกว่า 300 คน ในธีมการพัฒนาตัวเองฉบับมนุษย์เป็ด
ปีนี้ได้พูดเปิดงานเป็นคนแรก ในหัวข้อที่ชื่อว่า "Your Choices"
เป็นเนื้อหาที่เอามาจากคุณ Jim Kwik ผู้เขียนหนังสือชื่อ Limitless ที่มียอดขายหลายล้านเล่มทั่วโลก โดยหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการพัฒนาตนเองโดยปลดลิมิตหรือข้อจำกัดของสมองที่เราเชื่อว่ามีอยู่ ด้วยหลักการ 3M หรือ Mindset, Motivation และ Method
และล่าสุด Jim Kwik ได้ออกหนังสือ Limitless 2nd Edition โดยเพิ่มเป็น 4M โดยเพิ่ม Momentum เข้าไปด้วย เนื้อหาในบทความนี้จะเป็นเรื่องที่ต่อยอดมาจากหนังสือเล่มนี้
Life is the "C" between "B" and "D"
คุณ Jim Kwik บอกว่าชีวิตของคนเราเปรียบเสมือนตัว "C" ที่อยู่ระหว่างตัว "B" และตัว "D" ตอนแรกที่ได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกว้าวอะไร เพราะท่องกันมาตั้งแต่เด็ก A B C D E F... แต่มาน่าสนใจตรงที่ว่า
B = Birth หรือการเกิด และ D = Death หรือความตาย
และ C นี่แหละคือ Choices
ตัวเราในตอนนี้ คือ ผลลัพธ์ที่เกิดจากการเลือกทั้งหมดในอดีต
เช่น
- วันนี้จะกินอะไรดี
- ใช้เวลาทำอะไรดี
- ใช้เวลากับใครดี
- รับอะไรเข้าไปในสมองและจิตใจของเราดี
หลายคนคงเคยได้ยินวลีเด็ดที่ว่า "You are what you eat" ที่หมายถึงกินอะไรก็เป็นอย่างนั้น เช่น กินของทอดก็อ้วน กินของนอกบ้านที่ไม่สะอาดก็ท้องเสีย ดังนั้นเราอาจจะต้องมาตั้งสติในการเลือกสิ่งต่างๆ ให้ชีวิตเราดีขึ้นผ่าน 4 ทางเลือกนี้
1. Doing Something MORE of.. ทำสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้มากกว่าที่เคย
คุณ Lucille Ball เคยกล่าวไว้ว่า
"The more you do, The more you can do"
แปลว่า ยิ่งคุณทำมากเท่าไหร่คุณยิ่งทำได้มากขึ้นเท่านั้น เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นเรามาลองคิดไปด้วยกันดีกว่า
หากวันนี้เราทำอะไรสักอย่าง เก่งขึ้นวันละ 1% ติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปี หรือประมาณ 365 วัน ทุกคนจะนึกออกมั้ยว่าเราจะเก่งขึ้นกี่เท่า?
ถ้าคิดไม่ออกไม่เป็นไร ผมคิดมาให้แล้ว 5555 ลองดูภาพด้านล่าง
ภาพนี้เป็นการเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างโดยเริ่มจาก 1% ในวันแรก พอเข้าวันที่สองก็เก่งขึ้น 1% ของวันแรก เท่ากับว่าเราสะสมความเก่งในเรื่องนี้ได้ 1.01% แล้วในวันที่สอง จากนั้นลองคำนวณยาวต่อไปแบบสะสมความเก่งวันละ 1% จนครบ 1 ปี
คำตอบที่ได้เป็นแบบนี้ครับ
เมื่อถึงวันที่ 365 ความเก่งสะสมของเราจะอยู่ที่ 37.41% หากคิดแบบกลมๆ ก็จะเก่งขึ้นประมาณ 37 เท่า!
How to apply this?
- ทำให้บ่อยขึ้น (More of frequency)
- ทำให้มากขึ้น (More of duration)
เช่น
2. Doing Something LESS of.. ทำสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้น้อยกว่าที่เคย
เชื่อว่าทุกคนทำหลายสิ่งที่ไม่ทำให้สิ่งเหล่านี้ดีขึ้น
- ชีวิต
- ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
- สุขภาพจิตใจ
- ธุรกิจ
- การเงิน
Jim Kwik บอกว่า "เราแค่ต้องตัดทอนบางส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป"
How to apply this?
การนอนกลิ้ง
เชื่อว่าหลายคนมีปัญหานี้เหมือนกัน นาฬิกาปลุกแล้วแต่ไม่ยอมตื่นหรือตื่นแล้วแต่ไม่ยอมลุกจากเตียง พฤติกรรมที่ตามมาด้วยมักเป็นการตั้งนาฬิกาปลุกถี่ๆ โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตามมามีผลต่อสมองในเช้าวันนั้น
เนื่องจากการนอนทีละ 5-10 นาที ทำให้การนอนหลับของเราไม่ครบรอบและถูกปลุกมากลางคันส่งผลให้มีอาการมึนงงเพราะคุณภาพการนอนต่ำ วิธีแก้คือควรเริ่มจากการลดระยะเวลาในการนอนกลิ้งให้น้อยลง ค่อยๆ ลดทีละนิดเพื่อให้นิสัยนี้หายออกไปจากตัวเรา
การดู Streaming
เชื่อว่ามีหลายคนประสบปัญหานี้ หรือคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ก็อาจเปิด Netflix หรือ Disney คู่ไปด้วย (ทำได้ยังไง เก่งมาก) อยากให้ทุกคนลองเริ่มจากการลดจำนวน Episode ที่ดูต่อรอบให้น้อยลง เช่น จาก 10 ตอนเหลือแค่ครั้งละ 5 ตอน
หรือ การลดจำนวนครั้งที่ดูต่อ 1 อาทิตย์ เช่น จาก 5 วัน เหลือแค่ 3 วัน พยายามลดไปเรื่อยๆ ทีละนิดละหน่อย เชื่อว่าจะทำให้ทุกคนมีเวลาไปทำสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้นได้
การเล่น Social Media
Facebook, Instagram, Tiktok, X, Lemon เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเรามานานแล้ว เพราะมนุษย์เราขึ้เสือกเรื่องชาวบ้านมากกว่าเรื่องตัวเอง แรกๆ เราก็เอาไว้ส่องคนนั้นคนนี้ หรือเขียน Post และอัพรูปต่างๆ
แต่ Platform เหล่านี้ต่างแย่งกันเพื่อต้องการ Air Time ของพวกเรา ผ่านวิธีการที่เรียกว่า Notification ทำให้พวกเราอยากเข้าไปเปิด App เพื่อเชคว่ามีอะไรเกิดขึ้นนะ เกี่ยวกับเราหรือเปล่า ถ้าไม่ดูอาจจะพลาดอะไรบางอย่างก็ได้
การทำสิ่งนี้น้อยลงจะช่วยให้เรากำจัดนิสัยที่ไม่ส่งเสริมให้สิ่งต่างๆ ในชีวิตของเราดีขึ้นออกไปจากตัวเราได้ เช่นเดียวกันกับเก่งขึ้นวันละ 1% แต่ทางเลือกนี้เราทำให้น้อยลงวันละ 1% ก็ยังดี
3. START Doing Something เริ่มทำสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยได้ทำ
เมื่อเราโตขึ้นการเริ่มทำสิ่งใหม่มักยากเสมอ ลองคิดย้อนกลับสมัยเราหัดเดินใหม่ๆ เอาจริงผมเองก็ลืมไปแล้วว่าเริ่มเดินยังไง แต่เห็นลูกของเพื่อนเดินก็สังเกตว่า เด็กไม่กลัวเลยที่จะเริ่มเดินแม้ว่าจะล้มแล้วล้มอีก บางครั้งล้มแล้วก็หัวไปกระแทกพื้นร้องไห้ออกมาก็มี แต่พอหายเจ็บก็กลับมาเดินอีก ถามว่าเรื่องนี้สะท้อนอะไร
ยิ่งโตขึ้นเรายิ่งกลัวมากขึ้น คิดไปก่อนแล้วว่ามันมีโอกาส Fail แบบไหนได้บ้าง โดยพยายามเอาประสบการณ์ในอดีตของตัวเราเองที่ผิดพลาด หรือประสบการณ์ของคนอื่นที่ผิดพลาดมาบดบังความกล้าที่จะเริ่มทำสิ่งใหม่
Martin Luther King Jr. เคยกล่าวไว้ว่า
You don’t have to see the entire staircase, just take that first step
เราไม่จำเป็นต้องเห็นหรือรู้ว่าบันไดมีทั้งหมดกี่ขั้นหรือมีความสูงขนาดไหน เราแค่เริ่มก้าวแรกให้ได้ ความหมายคือ ขอให้เราเริ่มก้าวแรกได้ ก้าวที่สองที่สามเราก็จะทำต่อไปได้เรื่อยๆ ที่สุดก็จะถึงเป้าหมายเอง
หลักการนี้ตรงกับที่ Jim Kwik บอกไว้ว่าให้เรา START Doing Something New ด้วยหลักการ 3S คือ Small Simple Step
ค่อยๆ ทำทีละนิด อย่าตั้งเป้าหมายแรกเอาไว้สูงมากเกิน เพราะจะยิ่งทำให้สำเร็จยากขึ้น พูดแบบนี้อาจไม่เห็นภาพว่าการเริ่มทีละนิดต่างจากการเริ่มใหญ่ไปเลยยังไง ลองดูภาพด้านล่างน่าจะเข้าใจได้ 100% เลย
How to apply this?
การออกกำลังกาย
ผมเป็นคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย แต่ว่าอยากลองดูว่าหลักการนี้จะใช้ได้จริงมั้ย เลยเลือกออกกำลังกายที่เหนื่อยน้อยที่สุดนั่นก็คือ การเดิน ผมเริ่มเดินวันละ 15 นาที คือมันดูง่ายและน่าจะไม่เหนื่อยมาก ผลลัพธ์ คือ อาทิตย์แรกเดินรวมกันได้ 45 นาที คือเดิน 3 วัน
อาทิตย์ที่สอง เดิน 3 วัน วันละ 30 นาที ได้เวลารวม 90 นาที และอาทิตย์ที่สาม เดิน 4 วัน วันละ 35 นาที ได้เวลารวม 140 นาที จะเห็นเลยว่าพอเรา Start Small Simple Steps เรามีโอกาสทำได้จริงมากกว่าเริ่มด้วยการตั้งเป้าว่า วันนี้ฉันจะเดิน 1 ชั่วโมง
การเรียนรู้
ยกตัวอย่าง การอ่านบทความ Data Analyst Career Guide ของ DataRockie ที่แนะนำว่าถ้าอยากเป็น Data Analyst ต้องมีทักษะอะไรบ้าง หนึ่งในนั้นคือทักษะ Spreadsheets
ใน Datacamp มีสอนเรื่อง Microsoft Excel อยู่ โดยแบ่งเป็นหลายหัวข้อ ถ้าเราอยากเรียนให้จบเราควรแบ่งเรียนเป็นสัปดาห์ละหัวข้อ เพื่อเป็นการตั้งเป้าเล็กๆ ในแต่ละสัปดาห์จนสุดท้ายเราสามารถบรรลุเป้าหมายใหญ่ของเราได้ คือ การเรียนจบทั้งคอร์ส จะทำให้เรามีโอกาสเรียนคอร์สนี้จบมากกว่าตั้งเป้าว่าเรียนจบภายในวันเดียว
4. STOP Doing Something หยุดทำบางสิ่งที่กำลังทำอยู่
เราทุกคนสามารถทำให้สมอง, ร่างกาย และเงินในบัญชีของเราดีขึ้นด้วยการ หยุดทำบางสิ่งที่กำลังทำอยู่ เริ่มจากการทำความเข้าใจเรื่อง Good และ Great
ในหนังสือ Good to Great ของคุณ Jim Collins กล่าวไว้ว่า
"Say NO to Good, Say YES to Great"
ให้เลือกที่จะไม่ทำในสิ่งที่ Good หรือ ดีกับตัวเราในระยะสั้นเห็นผลลัพธ์ในทันที แต่ให้เลือกทำสิ่งที่ Great หรือดีกับตัวเราในระยะยาวแต่ต้องใช้เวลา เพราะโดยธรรมชาติแล้วคนเรามักจะรอนานไม่ได้ ตัวอย่างเช่น
เรามีงบจำกัดในการซื้อหนังสือในเดือนนี้ มีทางเลือกให้ 2 ทาง คือ
- Good: ซื้อหนังสือนิยายที่ตามอ่านอยู่ เพื่อรู้เนื้อหาตอนต่อไป หากเราเลือกทางเลือกนี้เราจะเห็นผลทันที เราจะมีความสุขเมื่อได้อ่านนิยายเรื่องนี้ต่อ
- Great: ซื้อหนังสือหลักการบริหารการเงิน เพื่อศึกษาวิธีการจัดการเงินในอนาคต หากเราเลือกทางเลือกนี้ ในอนาคตสามารถวางแผนการเงินได้ดี เกษียณไว หรือมีโอกาสทำธุรกิจเอง แต่ต้องใช้เวลา
How to apply this?
- List สิ่งที่อยู่ใน Doing Something LESS of.. ทำสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้น้อยกว่าที่เคย
- จัดลำดับผลกระทบที่ได้รับจากการทำสิ่งที่อยู่ในข้อที่ 1 โดยเรียงจากมากไปน้อย
- STOP Doing Something จากลำดับที่เราจัดในข้อที่ 2
มาเริ่มกันเถอะ
เริ่มทำสิ่งใหม่ START Doing Something จากนั้นลองดูว่าสิ่งที่เราเริ่มทำนั้นส่งผลดีหรือส่งผลเสีย
- หากส่งผลดีเราจะพยายาม Doing Something MORE of ผลักให้กลายเป็นนิสัยที่ดีและติดตัวกับเราไปตลอด
- หากส่งผลเสียเราจะพยายาม Doing Something LESS of หลีกเลี่ยงให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นนิสัยติดตัว และ Stop Doing Something เพื่อกำจัดมันออกไปจากชีวิตเรา
หากเพื่อนๆ ยังคิดไม่ออกว่าเราจะเริ่มยังไงดี วันนี้ผมมี List ของผู้ร่วมงาน Duck Con ทั้ง 300 กว่าคน ครบทั้ง 4 ทางเลือก มาให้ดูเป็นไอเดียเพื่อทำให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้น
ถ้าชื่นชอบเนื้อหาในบทความนี้ สามารถกดสมัครสมาชิกและ Subscribe เพื่อรอรับเนื้อหาดีๆ ที่จะส่งตรงถึงเพื่อนๆ ในอีเมลได้ทันทีที่เขียนเสร็จ !! หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย :)
Member discussion